วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา


หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย
Armed Forces Dovelopment Command




มูลเหตุการก่อตั้ง และวันสถาปนา
           เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ พรรคคอมมิวนิสต์จีนแห่งประเทศสยาม ได้จัดตั้งขึ้นโดยการแยกตัวออกมาจากพรรคคอมมิวนิสต์มลายู  และได้มีการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างลับ ๆ  ในหมู่กรรมกรชาวจีน ชาวไทย นักหนังสือพิมพ์  ครู  นักศึกษา  และนักเรียน ในปี พ.ศ.๒๔๘๕ ได้มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ต่อมาประเทศไทยได้ยกเลิกกฎหมายว่าด้วยคอมมิวนิสต์   เนื่องจากไทยต้องการเข้าไปเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ   อีกทั้งสาธารณรัฐสหภาพโซเวียตรัสเซีย เรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมาย  ดังกล่าวด้วย  โดยอ้างว่ากฎหมายของไทยฉบับนี้ขัดต่อปฏิญญาสากล  ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน  จากผลของการยกเลิกกฏหมายว่าด้วยคอมมิวนิสต์ทำให้คอมมิวนิสต์ในประเทศไทย  สามารถดำเนินการได้อย่าง เปิดเผย  ต่อมาในสมัย     จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ผบ.ทหารสูงสุด ได้ตระหนักถึงปัญหานี้ และเห็นว่าการที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถดำเนินการอย่างได้ผลในพื้นที่ชนบท เพราะความทุกข์ยากของประชาชน ประกอบกับกระทรวงมหาดไทยได้รายงานให้ทราบว่าคอมมิวนิสต์ ได้จัดส่งตัวแทนเข้าไปแทรกซึมอยู่ในหมู่บ้าน เพื่อบ่อนทำลายศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล โดยได้เริ่มปฏิบัติการในเขตที่ประชาชนด้อยการศึกษาและยากจน เจ้าหน้าที่ของรัฐดูแลไม่ทั่วถึง เพราะการคมนาคมไม่สะดวกและเป็นถิ่นทุรกันดาร ทำให้ขาดการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน กระทรวงมหาดไทยจึงได้เสนอให้ใช้วิธีการพัฒนาท้องถิ่นเป็นเครื่องมือดำเนินการ เพื่อขจัดปัญหาของต้นเหตุ  รวมทั้งความเห็นจากการประชุมคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางความมั่นคงขององค์การ  สปอ. ครั้งที่ ๓๓  ระหว่างวันที่ ๗ - ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ ว่าปฏิบัติการทางสาธารณะ ( Civic Action ) หรือการช่วยเหลือประชาชนเป็นการต่อต้านการบ่อนทำลายของคอมมิวนิสต์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ดังนั้น เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๐๕ ผบ.ทหารสูงสุด ได้พิจารณาเห็นชอบตามข้อเสนอของฝ่ายอำนวยการ บก.ทหารสูงสุด ได้ให้จัดตั้งส่วนราชการขึ้นหน่วยหนึ่ง  มีอำนาจประสานการปฏิบัติงาน และรวมขีดความสามารถของส่วนราชการต่างๆ มาไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย ๑๓ หน่วยงาน  มีทั้งพลเรือน  ตำรวจ และทหาร มีอำนาจสั่งการได้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานพัฒนาท้องถิ่น เป็นการแก้ปัญหาพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  จึงนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาอนุมัติให้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้น เรียกว่า “ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ”   ใช้คำย่อว่า “ กรป.กลาง ” เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๐๕ จากนั้นได้มีการส่งหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่หน่วยแรกออกปฏิบัติงานที่ อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๐๕ ใช้ชื่อเรียกหน่วยว่า “ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่  จ.กาฬสินธุ์ ”
              หลังจากที่คณะรัฐมนตรีลงมติและอนุมัติให้จัดตั้ง กรป.กลาง เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๐๕ ต่อมาจึงได้กำหนดให้ วันที่ ๑๐ เมษายน ของทุกปี  เป็นสถาปนา  กรป.กลาง  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
               จากการมุ่งมั่นแก้ปัญหา  อย่างถูกทางรัฐบาลไทยประกอบกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตมหาอำนาจผู้พยายามแผ่อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าไปในประเทศด้อยพัฒนาแถบเอเซีย  เมื่อปี 2535 ทำให้สถานการณ์การก่อการร้ายและความรุนแรงต่างๆ ในชนบทที่ห่างไกลยุติลงตามไปด้วย  แต่อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยังคงทำลายความสุขของพี่น้องประชาชนเหล่านั้นยังคงอยู่นั่นคือ ความอยากจน  อันถือเป็นหน้าที่ ที่หน่วยงานของรัฐจะต้องขจัดทุกข์ของประชาชนให้หมดสิ้นไป  กองบัญชาการทหารสูงสุด จึงได้พัฒนาแนวทางการช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศในขณะนั้น  เพื่อให้ประชาชนมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น  สามารถพึ่งพาตนเองได้และนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของตนเอง  ครอบครัว ชุมชน และสังคมต่อไป
                ดังนั้นในปี 2540 กองบัญชาการทหารสูงสุดได้มีการแก้อัตราตามคำสั่ง  กองบัญชาการทหารสูงสุด (เฉพาะ) ลับ ที่ 162/40 ลง 26 กุมภาพันธ์ 2540  ให้มีการเปลี่ยนนามหน่วยจากเดิม  กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ  หรือ กรป.กลาง หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา หรือ นทพ. โดยมีผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา หรือ ผบ.นทพ. เป็นผู้บังคับการรับผิดชอบ  ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนี้เป็นท่านแรก คือ พลเอก สุนทร  ฉายเหมือนวงศ์  ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผอ.กรป.กลาง อยู่จึงถือว่าท่านเป็น ผอ.กรป.กลาง ท่านสุดท้าย และ ผบ.นทพ. ท่านแรกในคราวเดียวกัน การทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดารดีขึ้นนั้น  จำเป็นต้องพัฒนาทุกๆ ด้าน พร้อมกันไป  ทั้งทางวัตถุและจิตใจอันเป็นการช่วยเหลือประชาชนตามหลักการพัฒนาชุมชน  ซึ่งมีเป้าหมายที่จะช่วยเหลือ  เพื่อให้ประชาชนช่วยตนเองได้ต่อไป  หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จึงได้ดำเนินงานพัฒนาช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่นตาม 8 แผนงานหลัก
 ได้แก่                                                                                    
๑.แผนงานสร้างเส้นทางคมนาคม ถนนหนทางนับเป็นปัจจัยสำคัญในการนำความเจริญเข้าไปสู่ท้องถิ่น พร้อม ๆ กับการนำผลผลิต ของผู้คนออกมาสู่ตลาด อีกทั้งยังเป็นปัจจัยในการดำรงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนอย่างยั่งยืนอีกด้วย ขีดความสามารถในการสร้างเส้นทางคมนาคมของ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้ทวีความก้าวหน้าทันสมัยขึ้นมา เป็นลำดับ จากถนนลูกรังบดอัดแน่น (ชั้นทาง F ๖) ในอดีต จนมาเป็นถนนลาดยาง (ชั้นทาง F ๔ ) ในปัจจุบัน นับหมื่นกิโลเมตรที่ตัดผ่านป่าทึบ ยอดดอยสูงชัน หรือแม้หุบเหวลึกล้ำ ล้วนเป็นผลงานที่ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เกิดความภาคภูมิใจทุกครั้งที่ได้เห็นรถของพี่น้องประชาชนขนพืชผักผลไม้วิ่งไปบนถนน และสะพานที่เราตั้งใจสร้างขึ้น และมอบให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของส่วนราชการในท้องถิ่น


 ๒.แผนงานส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ  ดังที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้นถึงความต้องการปัจจัยในการดำรงชีพของพี่น้องประชาชนในชนบทว่า นอกจากปัจจัย ๔ แล้ว อีกประการหนึ่งก็คือ การมีอาชีพเลี้ยงตัวและครอบครัวนั้น อาชีพของประชากรส่วนใหญ่ ของไทยก็คือ อาชีพทางการเกษตร ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ดังนั้น อีกแผนงานหนึ่งของ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ก็คือ การเกื้อกูลแก่การประกอบอาชีพทางการเกษตร ให้ได้ผลมากขึ้น มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะหมายถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องเกษตรกรตามไปด้วย อาทิ การผลิตน้ำเชื้อแช่แข็ง เพื่อผสมเทียมให้แก่แม่โคพันธุ์พื้นเมืองของเกษตรกร เพื่อให้ได้ลูกโคพันธุ์ผสมที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ, การผลิตพันธุ์ปลาน้ำจืดสนับสนุนเกษตรกร โรงเรียนและกลุ่มอาชีพต่างๆ เพื่อนำไปเลี้ยงขยายพันธุ์ และปล่อยลงแหล่งน้ำสาธารณะ, การจัดตั้งโครงการประมงหมู่บ้าน ประมงโรงเรียน รวมทั้งการผลิตเมล็ดพันธุ์หญ้าเพื่อเป็นอาหารสัตว์ การเพาะพันธุ์กล้าไม้ยืนต้น และการถ่ายทอดความรู้ ทางวิชาการเกษตรสู่พี่น้องเกษตรกร เพื่อความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ที่พอเพียงแก่การดำรงชีพ นอกจากนั้น ยังได้เริ่มดำเนินงานโครงการสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ปฏิบัติการของ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ มาตั้งแต่วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๑๖ เป็นต้นมา โดยร่วมมือกับ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งในปัจจุบัน มีสหกรณ์การเกษตรในความดูแลรับผิดชอบของ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จำนวน ๓๕ แห่ง กระจายอยู่ ทั่วทุกภูมิภาค
   ๓.แผนงานพัฒนาแหล่งน้ำ   ด้วยลักษณะการประกอบอาชีพของคนไทยที่อาศัยธรรมชาติเป็นสำคัญ เป็นเหตุให้ น้ำ ถือเป็นปัจจัยหลักที่จะขาดเสียมิได้ ทั้งเพื่อการประกอบอาชีพ และเพื่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ซึ่งแม้ในปัจจุบัน ก็ยังคงมีอีกหลายพื้นที่บนผืนแผ่นดินไทย ที่เรียกได้ว่า ขาดน้ำ แผนงานนี้จึงถูกกำหนด ขึ้นมารองรับปัญหาดังกล่าว ด้วยการแก้ไขภาวะขาดน้ำดังกล่าว ทั้งโดยการขุดสระเก็บน้ำ ขุดคลองส่งน้ำ หรือสร้างฝายกั้นน้ำ สุดแต่ความเหมาะสมของพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของชุมชน เอื้อต่อการประกอบอาชีพ และยังเป็นที่รองรับพันธุ์ปลาต่างๆ ที่หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ นำไปปล่อยไว้เพื่อขยายพันธุ์เป็นอาหาร สำหรับชุมชนต่อไปด้วย
๔.แผนงานพัฒนาชุมชนและสาธารณูปการ  แผนงานนี้เป็นไปเพื่อความเป็นระเบียบ เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นของชุมชน ที่ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา คำนึงถึงเป็นประการสำคัญ ได้แก่ การสร้างถนนภายในหมู่บ้าน การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล การสร้างระบบประปาหมู่บ้าน ระบบประปาภูเขา การสร้างถังเก็บน้ำฝน สร้างศาลาประชาคม ศาลาที่พักริมทาง และ สนามเด็กเล่น ซึ่งล้วนเป็นไปเพื่อการใช้ชีวิตอย่างร่มเย็น เป็นสุขของราษฎร
๕.แผนงานการสาธารณสุข  เป็นอีกแผนงานหนึ่งที่มุ่งกระทำเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของราษฎร ซึ่งได้แก่ การมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เริ่มตั้งแต่ การให้ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่ถูกหลักสุขอนามัย การป้องกันโรค การวางแผนครอบครัว การสร้างสถานีอนามัยให้แก่หมู่บ้านและประสานขอรับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ ประจำสถานีอนามัย นอกจากนั้น ทุกหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ยังได้ให้บริการตรวจรักษาโรคแก่ประชาชน ณ ที่ตั้งหน่วยโดยไม่คิดมูลค่า และจัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ออกไปให้บริการถึงหมู่บ้าน เพื่อบรรเทาปัญหา การขาดแคลนแพทย์ในชนบท รวมทั้งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านสุขภาพอนามัยอีกด้วย
๖.แผนงานการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม  เป็นแผนงานเพื่อเพิ่มคุณภาพทางการศึกษาให้แก่เยาวชน อันเป็นทรัพยากรล้ำค่าของชาติ โดยการส่งเสริมการศึกษาในโรงเรียน เช่น สร้างอาคารเรียน จัดหาอุปกรณ์การเรียน การกีฬา ทุนการศึกษา และส่งเสริมการศึกษานอกโรงเรียน เช่น การจัดตั้งศูนย์เยาวชน การฝึกอาชีพให้แก่เยาวชน รวมทั้งการขยายโอกาส ทางการศึกษาและฝึกอาชีพแก่ทหารกองประจำการ เพื่อใช้ประกอบอาชีพ และก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในการ พัฒนาท้องถิ่นในอนาคต โดยไม่ละเลยที่จะเน้นให้เยาวชนและประชาชนรำลึกถึงวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ตลอดจนศาสนาอันเป็นเครื่องนำทางไปสู่ความดีงามไปพร้อมๆกันด้วย
๗.แผนงานการประชาสัมพันธ์และจิตวิทยา  ในโลกแห่งความเสมอภาคในการรับรู้ข่าวสารนี้ การประชาสัมพันธ์นับเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง เป็นจริง ไม่บิดเบือน แผนงานนี้จึงถูกกำหนดขึ้นเพื่อตอบสนอง ความต้องการบริโภคข่าวสารของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งเพื่อเป็นการขจัดข่าวลือ และการ โฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ ตลอดจนปลูกฝังอุดมการณ์รักและเทิดทูนในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แก่ประชาชน ด้วยสื่อทุกชนิดที่หน่วยมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น หอกระจายข่าว สถานีวิทยุกระจายเสียงของหน่วย ตลอดจนการใช้สื่อบุคคล ด้วยการจัดชุดพัฒนาการเคลื่อนที่ออกไปเยี่ยมเยียน เพื่อช่วยเหลือประชาชน และรับรู้ปัญหาอุปสรรคต่างๆในแต่ละชุมชนอย่างสม่ำเสมอ
๘.แผนงานสังคมสงเคราะห์และอื่นๆ  ความเดือดร้อนสำหรับผู้ยากไร้นั้น เกิดขึ้นได้ทุกเวลา และจะหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ในยามที่ต้อง ประสบภัยพิบัติ ดังนั้น แผนงานนี้จึงเป็นไปเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่เดือดร้อน ได้รับความสูญเสีย ในยามที่เกิดภัยดังกล่าวขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย ภัยแล้ง ภัยหนาว ภัยจากการสู้รบบริเวณชายแดน หรือภัยอันเกิดจากอุบัติเหตุที่ส่งผลถึงผู้คนจำนวนมาก ซึ่งการช่วยเหลือ ตามแผนงานนี้ จะกระทำในนาม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ศบภ.นทพ.) ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติหลัก ในงานบรรเทาสาธารณภัย ของกองบัญชาการทหารสูงสุด และแม้กระทั่งในยามปกติ พี่น้องประชาชนที่ยากจน หรือเด็กนักเรียนที่ขาดแคลน ก็ถือเป็นหน้าที่ที่หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จะต้องดูแล ให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้พ้นจากความทุกข์นั้นเช่นกัน
ทั้ง ๘ แผนงาน อันเป็นแผนงานหลักในการปฏิบัติงานพัฒนาและช่วยเหลือประชาชน ของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนานั้น ถือว่าได้กำหนดไว้ให้สามารถตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ได้อย่างครอบคลุม …แต่เวลา ที่ผ่านมานั้น หากปราศจาก คน ที่ตั้งใจปฏิบัติตามแผนงานนั้น ด้วยความมุ่งมั่น และกระทำด้วยความรักความห่วงใยในพี่น้องประชาชนอย่างจริงใจมาทุกยุคทุกสมัยแล้ว …..เราก็คง ไม่มีโอกาสอยู่ในความทรงจำของพี่น้องประชาชน ในฐานะ นักรบสีน้ำเงิน อย่างที่เป็นมา…. และเมื่อนั้น …แผนงานใดใดก็คงไร้ค่า



วิดีโอภารกิจการปฎิบัติงานของ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา





โรงเรียนช่างฝีมือทหาร

โรงเรียนช่างฝีมือทหาร
MILITARY TECHNICAL TRAINING SCHOOL


ประวัติโรงเรียนช่างฝีมือทหาร

History of Military Technical Training School



โรงเรียนช่างฝีมือทหาร ตั้งขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง รัฐบาลไทย และ ออสเตรเลีย ภายใต้องค์การสนธิสัญญาการป้องกันร่วมกัน แห่งเอเชียอาคเนย์ (สปอ.) โดยร่วมกันจัดทำโครงการ รวม ๓โครงการ คือ
เป็น สถาบันที่ผลิตช่างฝีมือและช่างเทคนิคที่มีประสิทธิภาพ ในระดับ ป.วช. และ ป.วส. ให้กับส่วนราชการในกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และส่วนราชการอื่นๆ อีกทั้งยังผลิตช่างที่มีความสามารถในการใช้เครื่องจักรกล ซ่อม ปรับแต่ง ปรนนิบัติบำรุงเครื่องจักรกลต่างๆ ที่ทันสมัยในยุคปัจจุบันออกสู่ตลาดแรงงานของประเทศ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนช่างฝีมือ และเพื่อการเติบโต การขยายตัวด้านเศรษฐกิจที่เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันเพื่อให้สอดคล้องกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามนโยบายของรัฐบาล และทางกระทรวงศึกษาธิการ รับรองวิทยฐานะ

๑. โครงการช่างกลโรงงาน พ.ศ.๒๕๐๑ รัฐบาลออสเตรเลีย
ได้เสนอความ ช่วยเหลือประเทศไทยจัดตั้งโครงการช่างกลโรงงาน โดยรัฐบาลออสเตรเลียเป็นผู้ จัดหา เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์การฝึก พร้อมกับส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแนะนำ รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายจัดหาที่ดินและก่อสร้างอาคาร จัดเจ้าหน้าที่ดำเนินงานจากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๓ วางศิลาฤกษ์โดย พลเอก ถนอม กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ๘ กันยายน ๒๕๐๓ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และ กรมตำรวจ ส่งข้าราชการเข้าศึกษารุ่นแรก รวม ๔ สาขาวิชาชีพ คือ.-
๑. ช่างปรับทั่วไป
๒. ช่างปรับอุปกรณ์ไฟฟ้า
๓. ช่างเครื่องมือกล
๔. ช่างเหล็ก เชื่อมประสาน ประกอบโลหะแผ่น

๒. โครงการช่างยานยนต์ พ.ศ.๒๕๐๙ รัฐบาลออสเตรเลีย และรัฐบาลไทย ได้ร่วมกันจัดตั้งโครงการช่างยานยนต์ โดยรัฐบาลออสเตรเลียเป็นผู้จัดหาเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์การฝึก พร้อมกับส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแนะนำ รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายจัดหาที่ดินและก่อสร้างอาคารจัดเจ้าหน้าที่ดำเนินการ จาก กองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ วางศิลาฤกษ์โดย จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ๑ ตุลาคม ๒๕๑๒ นักเรียนช่างฝีมือทหาร วิชาชีพ ช่างยานยนต์ รุ่นที่ ๑ เข้าศึกษา

๓ โครงการช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.๒๕๑๕ รัฐบาลออสเตรเลีย และรัฐบาลไทย ได้ร่วมกันจัดตั้ง โครงการช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยรัฐบาล ออสเตรเลียเป็นผู้จัดหาเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์การฝึก พร้อมกับส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแนะนำ รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายจัดหาที่ดินและก่อสร้างอาคาร รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่ดำเนินงานจากกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ พ.ศ.๒๕๑๖ - ๒๕๑๗ ก่อสร้างอาคาร และติดตั้งเครื่องจักรกล แล้วเสร็จ พ.ศ.๒๕๑๗ นักเรียนช่างฝีมือทหาร วิชาชีพช่างอิเล็กทรอนิกส์ รุ่นที่ ๑ เข้าศึกษา
การ พัฒนาของโรงเรียนช่างฝีมือทหาร

หลังจากสิ้นสุดโครงการช่าง ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์(พ.ศ.๒๕๑๕-๒๕๑๗)รัฐบาล ออสเตรเลีย ได้ยุติโครงการช่วยเหลือ โรงเรียนช่างฝีมือทหาร ทำให้โรงเรียนช่างฝีมือทหาร จำเป็นต้องพัฒนาโรงเรียน โดยใช้งบประมาณจากรัฐบาลไทยเท่านั้น ซึ่ง ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงได้เล็งเห็น ศักยภาพของโรงเรียนช่างฝีมือทหาร ที่จะเป็นสถานศึกษาด้านวิชาชีพ ผลิตกำลังพลด้านช่าง พื้นฐานให้กับส่วนราชการต่างๆ ใน กห. ได้อย่างดียิ่ง จึงได้อนุมัติให้ โรงเรียนช่างฝีมือทหาร เพิ่มขีดความสามารถในการผลิต ช่างฝีมือประเภทต่าง ๆ เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล อีกด้านหนึ่ง ดังนี้.-

พ.ศ.๒๕๓๔ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้อนุมัติหลักการให้โรงเรียนช่างฝีมือทหาร เปิดการศึกษาหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ภาคสมทบ เพื่อตอบสนองความต้องการช่างฝีมือในตลาดแรงงานได้ และ โรงเรียนช่าง ฝีมือทหาร ได้เปิดรับนักเรียนช่างฝีมือทหาร ระดับ ปวช. ภาคสมทบ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๔ เป็นต้นมา
พ.ศ.๒๕๓๔ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้อนุมัติหลักการให้โรงเรียนช่างฝีมือทหาร เปิดการศึกษาหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยให้เปิดการศึกษา ๘ วิชาช่าง คือ.-

๑. วิชาช่างเครื่องกล
๒. วิชาช่างกลโรงงาน
๓. วิชาช่างโลหะ
๔. วิชาช่างผลิตเครื่องมือและแม่พิมพ์
๕. วิชาช่างยานยนต์
๖. วิชาช่างไฟฟ้า
๗. วิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์
๘. วิชาช่างท่อและประสาน

แต่ ด้วยขีดจำกัดทางด้านบุคลากร อุปกรณ์การสอน และจำนวน ห้องเรียน โรงเรียนช่างฝีมือทหาร จึงได้เปิด รับนักเรียนช่างฝีมือทหาร ภาคสมทบ เข้าศึกษา ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ตั้งแต่ปีการ ศึกษา ๒๕๓๕
เพียง ๓ วิชาช่าง คือ.-

๑. วิชาช่างยานยนต์
๒. วิชาช่างไฟฟ้า
๓. วิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบัน โรงเรียนช่างฝีมืทหาร ใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พ.ศ.๒๕๔๖ ในการเรียนการสอน
มีสาขาที่ เปิดสอนดังนี้
๑. วิชาชีพช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล
๒. วิชาชีพช่างเครื่องมือกล
๓. วิชาชีพช่างเชื่อมโลหะ
๔. วิชาชีพช่างยานยนต์
๕. วิชาชีพช่างไฟฟ้า
๖. วิชาชีพช่างอิเล็กทรอนิกส์


ข้อมูลโรงเรียนช่างฝีมือทหาร

สัญลักษณ์ ของโรงเรียนช่างฝีมือทหาร คือ เครื่องหมายสามเหล่าทัพที่ซ้อนอยู่บนเฟือง ซึ่งมีรูปสมอเรือสอดขัดในกงจักร ด้านซ้ายและด้านขวามีรูปปีกนกกางทับบนวงเฟืองจักรปลายปีกนกทั้วสองข้าง ล้ำขอบเฟืองจักรเล็กน้อย

เบื้องบนมีคติประจำสถาบันเป็นอักษรภาษาบาลี "สาธุ โข สิปฺปกํ นาม" อันมีความหมายว่า "ขึ้นชื่อว่าศิลปะแล้วแม้อย่างเดียวก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้"
เบื้องล่าง มีอักษรภาษาไทย "โรงเรียนช่างฝีมือทหาร"

กงจักร (สีแดง) หมายถึง กองทัพบก
สมอ (สีน้ำเงิน) หมาย ถึง กองทัพเรือ
ปีกนก (สีฟ้า) หมายถึง กอง ทัพอากาศ
เฟือง (สีม่วง) หมายถึง สัญลักษณ์ "ช่าง"


ข้อมูลทั่วไป

ชื่อโรงเรียน โรงเรียนช่างฝีมือทหาร
สังกัด สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย
คำย่อโรงเรียน รร.ชท.สปท.
สถานที่ตั้ง 3/1 ซอยพหลโยธิน 30 ถนน พหลโยธิน แขวงจันทรเกษม เขตจัตุจักร กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10900
คำนำหน้านักเรียน นักเรียนช่างฝีมือ ทหาร คำย่อ "นชท."
วันสถาปนา โรงเรียน 18 มกราคม 2503
บริเวณ โรงเรียน 58 ไร่ 2 งาน 59 ตารางวา
พระบรมรูปประจำโรงเรียน พระบวรราชานุ สาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (บิดาแห่งการช่างสมัยใหม่)
พระพุทธรูปประจำโรงเรียน พระพุทธ ปิ่นนฤนาถ (พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นจอมกษัตริย์)
ปรัชญาโรงเรียน สาธุ โข สิปฺปกํ นาม "ขึ้นชื่อว่าศิลปะแล้วแม้อย่างเดียวก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้"
นโยบาย
นักเรียน ช่างฝีมือทหาร คือ หัวใจของโรงเรียนช่างฝีมือทหาร การปฎิบัติของราชการต้องมุ่งไปสู่การทำให้นักเรียนช่างฝีมือทหารเป็นช่างมือ อาชีพที่มีทั้งความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ มีจิตใจที่เข้มแข็ง เป็นคนดีของสังคม เป็นทรัพยากรอันมีค่ายิ่งของชาติไทย

คำขวัญ - คติพจน์ ความประพฤตินำ หน้า วิชาตามหลัง
สีประจำโรงเรียน ม่วง - ขาว
สีธงประจำโรงเรียน ฟ้า - ขาว
ต้นไม้ประจำโรงเรียน ต้น สน


ธง โรงเรียนช่างฝีมือทหาร

1. ธงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 70 ซม. ยาว 105 ซม. ขอบธงมีขลิบสีขาว
2. สีผืนธงเป็นสีฟ้า หมายถึงหน่วยขึ้นตรงการบังคับบัญชาของ กรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด
3. สัญลักษณ์ในผืนธงเป็นตรา 3 เหล่าทัพขนาด กว้าง 35 ซม. ยาว 50 ซม. มีตรารูปฟันเฟืองอยู่นอกสุด มีอักษรชื่อ "โรงเรียนช่างฝีมือทหาร" อยู่ใต้ตราสามเหล่าทัพ
3.1 ตราสามเหล่าทัพ หมายถึง การรวมความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
3.2 รูปเฟือง หมายถึง ความเป็นช่างของเหล่าทัพ ซึ่งจะมีการประสานความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความรู้และวิทยาการกันตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
3.3 พู่ธงใช้ 3 สีคือ สีแดง สีน้ำเงิน และ สีฟ้า ขนาดกว้าง 5 ซม. ยาวเท่ากับความกว้างของผืนธงเมื่อปล่อยชายลงมา
3.4 ฐานธงและคันธงเป็นไปตามที่ กพ.ทหาร กำหนด

วิดีโอข้อมูลและประวัติโรงเรียนช่างฝีมือทหาร